หนุ่มลูกครึ่งชาวศรีราชา เปิดใจเรื่องเศร้า พลัดพลากกับพ่อชาวญี่ปุ่น ที่ดอยอินทนนท์ ผ่านมา 4 ปี ยังหวังเจอตัว (มีคลิป)

หนุ่มลูกครึ่งชาวศรีราชา เปิดใจเรื่องเศร้า พลัดพลากกับพ่อชาวญี่ปุ่น ที่ดอยอินทนนท์ ผ่านมา 4 ปี ยังหวังเจอตัว

[embedyt] https://www.youtube.com/watch?v=re8g6KJCRc8[/embedyt]

จากกรณีที่ ทาง มูลนิธิกระจกเงา ได้เผยเรื่องราวการหายตัวไปของ นายคินยา นาคามูระ อายุ 82 ปี ชายชาวญี่ปุ่น ซึ่งออกจากอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ต.บ้านหลวง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2561 ในลักษณะรูปร่างผอม สูง 168 เซนติเมตร ผิวสีขาว ผมสั้น สีผมดำ-ขาว ฟันกรามด้านในอุดด้วยโลหะทองคำขาว การแต่งกาย สวมเสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีฟ้า-ขาว สวมกางเกงขายาวสีครีม เข็มขัดสีน้ำตาลแดง รองเท้าสีดำยี่ห้อ FILA สวมหมวกแก๊ปสีดำเขียนว่า DUNLOP มีกระเป๋าสะพายข้างสีเขียวขี้ม้า สวมนาฬิกาข้อมือโลหะ ท่านใดพบเห็นโปรดแจ้ง มูลนิธิกระจกเงา โทร. 095-631-1914


ล่าสุดเมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 28 มกราคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้ลงพื้นที่ไปติดตามความคืบหน้าในกรณีดังกล่าว ที่ บ้านเลขที่ 340/55 หมู่บ้านสวนเสือปาล์มฮิลล์ ม.6 ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เพื่อพูดคุยกับนายชิญญา นาคามูระ อายุ 33 ปี เป็นวิศวกรของโรงงานแห่งหนึ่ง ในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทองสาม ซึ่งเป็นลูกชายที่ติดตามหา พ่อชาวญี่ปุ่น หายตัวไป 4 ปี ที่ดอยอินทนนท์
ด้าน นายชิญญา นาคามูระ เปิดใจว่า คุณพ่อเป็นคนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นวิศวกรที่ต้องเดินทางไปทั่วโลก จนกระทั่งได้มาพบกับแม่ และได้เริ่มปักหลักปักฐานซื้อบ้านกันที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โดย ตอนเด็ก ๆ ปีๆ หนึ่งจะเจอพ่อสามเดือนครั้ง ครั้งละประมาณ 7 วัน ตนนั้นเกิดที่ไทย พูดได้แต่ภาษาไทย ส่วนพ่อพูดได้แต่ภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษ พ่อพยายามเรียนภาษาไทยพูดได้นิดหน่อยเพื่อไว้คุยกับตน เวลาคุยกันไม่รู้เรื่องพ่อจะยิ้ม แต่ส่วนใหญ่ก็จะรู้ความหมายกัน แม้จะไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันแต่ก็ติดต่อกับคุณพ่ออยู่ตลอด


และเมื่อช่วงวันที 8 เมษายน ในปี 2561 ทางตนเอง ครอบครัว และพ่อ รวม 7 คน ได้เดินทางออกจากกรุงเทพมหานคร ไปที่ จ.เชียงใหม่ ได้พักที่โรงแรมบริเวณท่าแพ ต่อมาในวันที่ 9 เมษายน เราก็ได้เดินทางไปที่ ดอยอินทนนท์ เพื่อกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือพระธาตุ แต่พอเสร็จจากจุดไหว้ ตนเองและพ่อก็เดินเท้าต่อไปที่สวนดอกไม้ เพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ส่วนทางครอบครัวได้กลับไปรอที่รถตู้แล้ว
ซึ่งในจังหวะเพียงไม่กี่นาที ตนเองได้เก็บกล้องใส่กระเป๋า พอตนหันมาอีกที คุณพ่อที่ยืนให้ตนเองถ่ายรูปกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ตอนนั้นตนเองตกใจมาก รีบติดตามหาพ่อ ทั้งบนดอยและตามตลาดในตัวเมืองทั้งวัน


จนกระทั่งตนเองได้ประสานเจ้าหน้าที่ และมาทราบภายหลังว่า พ่อได้นั่งรถโดยสารสีเหลืองลงไปจุดแม่ปาง และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งจุดตามหาตัวเริ่มกว้าง ส่งผลให้การหาตัวค่อยข้างยากลำบาก ผ่านไปหลายวัน ทั้งตนเองและครอบครัว รวมถึงเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานในพื้นที่เชียงใหม่ที่มาช่วยค้นหาก็ยังไม่พบตัวพ่อแต่อย่างไร
โดยในช่วงตลอด 4 ปี ที่ผ่านมาตนเองยังคงตั้งความหวังไว้ ว่าจะพบหน้าพ่ออีกครั้ง ไม่ว่าที่ใดที่หนึ่ง สักแห่งในจังหวัดเชียงใหม่ ตนเองยังเชื่อว่าพ่อยังมีชีวิต หวังว่าสักวันเราจะได้พบกัน


ตนเองยอมรับว่าตนนั้นไม่ใช่คนรวย การตามหาแต่ละครั้งก็มีค่าใช้จ่ายเป็นหลักหมื่น และก็รู้สึกเกรงใจที่หน่วยงานต่าง ๆในพื้นที่เชียงใหมา ต้องมาเดือดร้อนไปด้วย มันอาจจะดูเหมือนเห็นแก่ตัว การเดินทางมาตามหาพ่อบางทีมันไม่พอค่าใช้จ่ายด้วยซ้ำ จนกระทั่งล่าสุดตนเองได้นำเรื่องราวไปขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิกระจกเงา และทางมูลนิธิ ก็ให้การช่วยเหลือที่จะพาตนเองไปยังดอยอินทนนท์อีกครั้ง เพื่อประชุมหารือร่วมกับ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์, กองทัพอากาศ, ตำรวจป่าไม้ (ปทส.) มีความเห็นร่วมกันว่าจะทำการค้นหาในจุดที่คุณพ่อคินยาหายตัวไปอีกครั้ง ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ที่จะถึงนี้ซึ่งก็หวังจะได้พบพ่ออีกครั้ง

ชำนาญ/ศรีราชา

Related posts