จิตติพจน์ วิริยะโรจน์ สส.เพื่อไทย หนุนร่าง พ.ร.บ.ฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ย้ำจะต้องใส่เหตุผลในการลงมติตัดสินคดี เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการปฏิบัติหน้าที่
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร เกี่ยวกับการไต่สวนเพิ่มเติม ซึ่งเป็นสิ่งที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือคณะกรรมการ ป.ป.ท. ทำได้ โดยเฉพาะการให้เหตุผลในสำนวนการสอบสวน เพื่อให้เกิดความโปร่งใส เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติ มาตรการของฝ่ายบริหาร ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….ว่า หากสรุปประเด็นที่เป็นสาระสำคัญ เห็นว่าในการไต่สวนทางคณะกรรมการ ป.ป.ท.สามารถที่จะตั้งเป็นองค์คณะมาไต่สวน หรือจะตั้งเป็นอนุกรรมการมาไต่สวนก็ได้ เมื่อมีการไต่สวนแล้ว หากดำเนินการเสร็จ เมื่อมีการส่งสำนวนให้กับคณะกรรมการ ป.ป.ท. หากเห็นว่าสำนวนนั้นมีความครบถ้วนสมบูรณ์ ก็จะรับสำนวนนั้นไว้พิจารณา
แต่ถ้าหากเห็นว่าสำนวนนั้นยังขาดความสมบูรณ์ คณะกรรมการที่กล่าวมาก็จะส่งกลับไปให้อนุกรรมการหรือองค์คณะไต่สวน เพื่อทำการไต่สวนต่อไป สาระสำคัญส่วนนี้ที่คณะกรรมาธิการมีการแก้ไขเพิ่มเติม เห็นว่าเป็นสิ่งที่คณะกรรมการสามารถกระทำได้ และจะต้องให้เหตุผลไว้ด้วย เพื่อที่จะให้เกิดความโปร่งใส การวินิจฉัยของผมเห็นว่าในการพิพากษาของศาล ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เขียนไว้ชัดเจน ในการพิพากษาต้องพิพากษาให้ครบทุกประเด็น ทุกข้อหา และต้องให้เหตุผลแห่งการวินิจฉัยทั้งปวงไปด้วย ทำให้โปร่งใสและตรวจสอบได้
หากจะเทียบถึงการทำงานของฝ่ายบริหาร ซึ่งมีพระบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 มาตรา 37 ที่สามารถอ้างอิงได้ กล่าวคือฝ่ายบริหารถ้าจะใช้อำนาจแล้วออกคำสั่งเป็นหนังสือ จะต้องมีข้อเท็จจริง จะต้องมีข้อกฎหมายอ้างอิง และก็จะต้องให้มีข้อพิจารณา ข้อสนับสนุน ต้องมีการให้เหตุผลในการใช้ดุลพินิจด้วยดังนั้นการให้เหตุผลจึงมิใช่เป็นเรื่องที่เสียหายแต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่รัฐธรรมนูญ และเป็นสิ่งที่ประเทศที่เจริญแล้วประสงค์จะทำ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และต้องดำเนินการ จึงเห็นด้วยกับคณะกรรมการเสียงข้างมาก ที่จะให้ระบุคำว่า “จะต้องให้เหตุผลไป” เป็นเรื่องที่ชอบแล้ว
ภาพ/ข่าว น.ส.นภชนก เหมือนนามอญ บก.ชลนิวส์ทีวีออนไลน์ สัมภาษณ์ บริบูรณ์ บก.”ข่าวทั่วไทย”รายงาน 087-614-2444.